อัปเดตเทรนด์ SEO
1. Mobile Responsive: Google จะ Index เว็บไซต์ที่แสดงผลบนมือถือขึ้นมาก่อน
เราคงจะได้ยินเรื่อง “Mobile First” อย่างหนาหูกันมาสักพักแล้ว นั่นก็เพราะว่า ผู้คนพึ่งพาการใช้ Smart Phone มากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่า รวมไปถึงพฤติกรรมการเสิร์ช Google ของคนด้วย
เห็นว่าคนเสิร์ชผ่าน Mobile Devices มากขึ้น และมากกว่าการเสิร์ชบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วย ซึ่งหากลองนึกจินตนาการดู เราจะออกไปไหน จะหาร้านอะไร หรือเกิดนึงสงสัยอยากค้นคว้า อุปกรณ์ที่ใกล้มือที่สุดอย่าง “มือถือ” อย่างไรก็สะดวกกว่าคอมพิวเตอร์
นอกจากในฐานะที่เราทำ SEO หรือดูแลเว็บไซต์ที่ควรจะต้องแคร์เรื่อง Mobile Responsive แล้ว Google เองก็เคยประกาศว่า จะใช้การแสดงผลที่ดีบน Mobile เป็นหนึ่งในปัจจัยการจัดอันดับเว็บไซต์ตั้งแต่ปี 2016 แล้วด้วย และหากใครที่เคยสังเกต จะเห็นได้ว่าผลลัพธ์อันดับรายการเว็บไซต์บนหน้าเสิร์ชบน Mobile กับ Desktop จะแตกต่างกันอยู่บ้าง นั่นก็เพราะว่า อุปกรณ์ที่เข้าถึงเว็บไซต์ก็ส่งผลต่อการคัดเลือกเว็บไซต์ของ Google ขึ้นมาแสดงเช่นกัน
Basic mobile-friendly website ที่ต้องมีได้แล้ว
-ฟอนต์ใหญ่ขึ้น อ่านง่ายขึ้น
-CTA หรือปุ่มควรใหญ่ขึ้น กดง่าย และชวนกด
-เมนูหรือ Navigator ต้องไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย
-ส่วนประกอบอื่นๆ เช่น Banner ด้านข้าง ฟอร์มกรอก ต้องไม่มารบกวน
-Layout และหน้าตาเว็บไซต์บน Mobile ควรจะเรียบง่าย (เว็บไซต์ที่เรียบง่ายให้ผลลัพธ์ดีกว่า)
-ไฟล์ภาพ วิดีโอ และมีเดียอื่นๆ ต้องแสดงผลได้ และโหลดเร็ว
เว็บไซต์ต้องโหลดเร็ว โหลดไว (สำคัญมาก เพราะถ้าใช้เวลาโหลดเกิน 3 วินาที 53% ของคนก็จะไม่รอต่อแล้ว)
2. Voice Search คนเสิร์ชด้วยเสียงมากขึ้น วิธีการเขียนต้องมุ่ง “ถาม-ตอบ”
มีการคาดการณ์ว่า ในปี 2020 นี้ ประชากรในสหรัฐฯ กว่า 50% จะใช้การเสิร์ชด้วยเสียง (Voice Search) เป็นหลัก และกว่า 41% ของผู้ใหญ่จะใช้ Voice Search อย่างน้อยวันละครั้ง ซึ่งสถิตินี้ในต่างประเทศมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นๆ
กลับมาที่บ้านไทยของเรา ถึงแม้ว่า มีข้อกังขาว่าในไทยยังไม่ปัง อาจจะเพราะคิดว่า Google ยังไม่ค่อยเข้าใจคำภาษาไทย แต่ในเมื่อภาษาอังกฤษทำได้แล้ว อย่างไรๆ ภาษาไทยก็ต้องตามมาแน่ๆ (เหมือนกับ Google translator ที่แต่ก่อนเคยแปลไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวนี้ AI ของ Google ก็เก่งภาษาไทยมากขึ้นแล้วนะ)
นอกจากนี้ การเข้ามาของ Assistants ต่างๆ อย่าง Google Assistant, Alexa, Siri รวมทั้ง การมาเยือนของ IoT (Internet of Things) ที่สิ่งของภายในบ้านก็จะเป็นหนึ่งในผู้ช่วยที่เราถามได้ เช่น Google Home, HomePod เป็นต้น ก็เป็นคลื่นลูกใหญ่ที่จะผลักให้ Voice Search เติบโตอย่างรวดเร็ว
สรุปแนวทางง่ายๆ ในการปรับเว็บไซต์เพื่อ Voice Search
คอนเทนต์มีลักษณะถาม-ตอบ
คอนเทนต์ต้องตอบคำถามให้กระชับ ชัดเจน
ใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติ/เป็นประโยคสนทนามากขึ้น (คนพิมพ์กับคนพูดถามไม่เหมือนกัน)
ใช้ Niche longtail keyword ซึ่งสอดคล้องกับคำถามของคนที่สุด
ใช้ Bullet หรือ Listing (เป็นอีกวิธีที่ให้คำตอบแบบชัดเจน มีสิทธ์ลุ้น Google Assistant เลือกหยิบไปตอบผู้คน)
ปรับ Heading 2, 3, 4 ให้เป็นคำถาม
ทำ Mobile-Friendly ด้วย เพราะคนเสิร์ชด้วยเสียงจากโทรศัพท์เป็นหลัก
3. Zero Position ที่หนึ่งไม่ไหวก็ขอเป็นที่ ‘ศูนย์’ กับ Featured Snippet
อันดับหนึ่งคงไม่พออีกต่อไป ตอนนี้ เทรนด์ SEO หันมาแข่งขันอันดับที่ศูนย์หรือตำแหน่ง Featured Snippet กันแล้ว
Featured Snippet คือ การ์ดตัวอย่างข้อมูลที่ปรากฏขึ้นมาก่อนรายชื่อเว็บไซต์อันดับแรก เป็นตำแหน่งที่ Google คัดเลือกขึ้นมาเองเพื่อให้คำตอบแบบเร็วๆ กับผู้ใช้งาน ซึ่งไม่จำเป็นต้องไต่อันดับขึ้นมาเรื่อยๆ ทุกเว็บไซต์มีโอกาสได้ตำแหน่ง Zero Postion นี้ ถ้า Google มองว่าตอบคำถามได้ดี
แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยจุดเด่นและประโยชน์ต่อไปนี้ ก็ทำให้ Featured Snippet ได้รับความสำคัญขึ้นจนกลายเป็นหนึ่งในเทรนด์ SEO ที่ห้ามพลาด
ไม่จำเป็นต้องไต่อันดับมาเรื่อยๆ ก็มีโอกาสขึ้นหน้าแรกเป็น Featured Snippet ได้ (จากสถิติ กว่า 95% ของคนเสิร์ชคลิกเว็บไซต์ที่อยู่บนหน้าแรก) เพิ่มโอกาสได้ Traffic
เว็บไซต์ได้รับความน่าเชื่อถือ เพราะคนจะมองว่า Google คัดเลือก ‘ที่สุด’ มาให้แล้ว
การ์ด Featured Snippet ดึงดูดสายตา หากตัวอย่างข้อมูลบนเว็บไซต์สามารถตอบคำถามได้ดี และมีสิ่งที่ผู้ใช้งานอยากอ่านเพิ่ม เว็บไซต์ก็จะได้ Traffic (รวมทั้งแย่ง Traffic ไปจากอันดับหนึ่งด้วย)
แล้วเราจะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับที่ศูนย์ ถูกเลือกเป็น Featured Snippet ได้อย่างไร
จริงๆ แล้วยังไม่มีคำตอบ และ Google บอกแค่ว่า ที่เลือกมาจะเป็นคำตอบหรือข้อมูลสั้นๆ มักจะปรากฏเมื่อการค้นหาอยู่ในรูปคำถาม ดังนั้น คอนเทนต์บนเว็บไซต์จึงควรเป็นแนวทางการถาม-ตอบ ตัวอย่างในการปรับปรุงคอนเทนต์เพื่อ Featured Snippet ตามข้อสันนิษฐานง่ายๆ ก็เช่น
วลีหลักหรือ Keyphrase อยู่ในรูปคำถามและเนื้อหาเป็นคำตอบ (ลองดู Keyword ที่มักปราฏใน Search Query ในภาษาอังกฤษ ผมคิดว่าเอามาเป็นไอเดียทำ Keyword ในภาษาไทยได้นะครับ)
มีโครงสร้างบทความ/เนื้อหาชัดเจนด้วย Heading
บอกขั้นตอนหรือให้คำตอบแบบ Listing
4. Search Intent Optimization แค่ Keyword ทั่วไปไม่พอ ต้อง ‘เดาใจ’ คนให้ได้
จากแต่ก่อน เวลาทำ SEO เราจะสนใจเรื่อง Keyword เป็นสำคัญ เราทำ Keyword Research เพื่อดูว่า Search Volume สูงไหม คนจะเสิร์ชแล้วเข้ามายังเว็บไซต์หรือเปล่าแต่ตอนนี้ เท่านั้นอาจจะไม่พอ
เป้าหมายหลักของ Google คือ การส่งมอบคำตอบที่ตรงกับสิ่งที่ผู้เสิร์ชต้องการมากที่สุด และตอนนี้ Google ก็พัฒนาขึ้นมาจนสามารถเข้าใจความต้องการจริงๆ ของผู้เสิร์ชได้แล้ว ซึ่งเรื่องนี้ต้องขอบคุณ BERT หรือระบบประมวลผลทางภาษาที่ Google อัปเดตไปเมื่อปลายปี 2019
ตัวอย่างการทำ Search Intent Optimization ง่ายๆ
-ใช้ Keyword ประเภท Commercial Intent เช่น “ซื้อ” “จอง” “ขาย” “ร้าน”
-ใช้ Keyword ที่เกี่ยวกับ Product เช่น ชื่อสินค้า ชื่อยี่ห้อ ชื่อรุ่น
-แทรกพวกคำถามพื้นฐานที่คิดว่าคนจะสงสัย แล้วทำคอนเทนต์ตอบ เช่น สิ่งนี้คืออะไร สิ่งนี้ทำอย่างไร สิ่งนี้ดีไหม เป็นต้น
-วางแผนทำคอนเทนต์ตาม Buyer Journey หรือขั้นตอนการตัดสินใจซื้อ เช่น “กำลังสนใจ/หาทางแก้ไขความสงสัยหรือปัญหา” “กำลังพิจารณาทางแก้ปัญหา/เลือกซื้อ” “ต้องการสุดๆ อยากซื้อแล้ว/อยากรู้แล้ว” เป็นต้น
ถึงแม้ตัวอย่างข้างบนจะตั้งต้นจาก Keyword เหมือนวิธีที่ใช้กันอยู่แล้ว แต่เราได้เพิ่มเรื่อง “ความต้องการ” หรือ “Intent” เข้าไป คนที่เสิร์ชด้วย Keyword ข้างต้น คือ คนที่มีความต้องการจะซื้ออยู่แล้ว และถ้าเราวางแผนคอนเทนต์ตาม Buyer Journey อย่างดี สามารถตอบความสงสัยความต้องการของคนได้จริง อย่างไร เว็บไซต์ของเราก็จะไม่ตกอันดับ แถมน่าจะเพิ่มผลลัพธ์หรือ Conversion rate ได้จาก Traffic คุณภาพอีกด้วย
5. AI และ Machine Learning จะเปลี่ยนโฉมการทำ SEO (ซึ่งน่าจะดีกับผู้ใช้)
Algorithm ที่คอยทำหน้าที่จัดอันดับเว็บไซต์ต่างๆ บน Google นั้น มีชื่อว่า “RankBrain” ซึ่งน้องได้กำเนิดขึ้นมาเมื่อ เดือนตุลาคม ปี 2015 และเรียนรู้เติบโตขึ้นด้วย Machine Learning และ AI
นับจากขวบปีแรกที่ RankBrain เกิดขึ้นที่เคยเข้าใจคำสั่งเสิร์ชของเราบ้างไม่เข้าใจบ้าง อ่าน Keyword เป็นคำๆ ไป ไม่เข้าใจความนัยความแฝง จนตอนนี้อายุได้ 5 ขวบ ซึ่งสำหรับ AI หรือ ML ที่ใช้เวลาเรียนรู้ได้รวดเร็วกว่าคนเป็นล้านเท่า 5 ปี ไม่ใช่อายุน้อยๆ เลย
ความสามารถที่พัฒนาขึ้น โดยเฉพาะ BERT เครื่องมือประมวลภาษาที่กล่าวไป ทำให้การทำงานของ Search Engine ไม่ได้มองหาแค่ “Keyword” อย่างเดียว Google สามารถอ่านระหว่างบรรทัดเข้าใจเนื้อหาของคอนเทนต์จริงๆ ได้ใกล้เคียงกับที่มนุษย์ตัวเป็นๆ เข้าใจ
และนอกจากนี้ AI + ML ยังทำให้ Search Engine ค้นหาสิ่งที่เหมาะสมกับผู้เสิร์ชได้มากขึ้น และแน่นอนว่า การทำ SEO แบบที่เราเข้าใจกันอาจทำให้ได้ผลลำบากขึ้น
ประสิทธิภาพของ AI ที่จะเข้ามาเปลี่ยนโฉมการทำ SEO
Insight: Machine Learning สามารถเก็บข้อมูลและประมวลผลเป็นข้อมูลเชิงลึก (Insight) ได้ทั้งจากฝั่งผู้เสิร์ชและฝั่งเว็บไซต์ ตัวชี้วัดต่างๆ ที่เก็บมา เช่น พฤติกรรมการเสิร์ช, Traffic, Time on site, Bounce rate, Session Duration ฯลฯ เหล่านี้ AI จะนำมาประมวลผลเชิงสถิติต่อ เพื่อหาความเป็นไปได้สูงสุดของสิ่งที่ User ต้องการ และสิ่งที่เว็บไซต์นำเสนอจริงๆ
Personalization: ผลลัพธ์บนหน้าเสิร์ชของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน นอกจาก User Signal จำพวกพฤติกรรมการเสิร์ชและการใช้งานเว็บไซต์แล้ว ปัจจัยอื่นๆ ก็ถูกนำมาเป็นเกณฑ์คัดเลือกหน้าเพจมาแสดง ตัวอย่างง่ายๆ ที่ชัดเจน คือ Location หรือตำแหน่งที่เราอยู่ส่งผลต่อผลลัพธ์บนหน้าเสิร์ช เช่น “ร้านขายเครื่องเขียน” หากเราเสิร์ชต่างกันเพียงไม่กี่กิโลเมตร ก็อาจได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน เป็นต้น และในอนาคต AI ก็คงเก่งขึ้นและเข้าใจบริบททั้งภายนอก-ภายในของเรามากขึ้นอีกแน่ๆ
เมื่อการทำ SEO แบบที่ทำกันอยู่อาจไม่ได้ผลดีเช่นเคย…
แล้วจะทำอย่างไรกันดี?
คำตอบคงวนกลับมาที่จุดประสงค์ของ Search Engine คือ การเสิร์ฟคอนเทนต์/คำตอบที่ตรงกับสิ่งที่ผู้เสิร์ชต้องการมากที่สุด ดังนั้น การทำ SEO ที่ดีที่สุดจึงเป็นเรื่องของการส่งมอบคุณค่าให้กับผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ตรงใจอย่างเรื่อง User Intent และประสบการณ์การใช้งานที่น่าพึงพอใจ เช่น Mobile-friendly, Website speed เป็นเรื่องที่เราคงต้องให้ความสำคัญกันตั้งแต่วันนี้และน่าจะเป็น 2 เรื่องที่จะยังไม่เปลี่ยนง่ายๆ สำหรับเทรนด์การทำ SEO ในอนาคต
http://valtrex10.com/ – buy valtrex 1000 mg
cheap erectile dysfunction
viagra pills online: https://edpillsonline24.com/# top erectile dysfunction pills
ed pills for sale: https://edpillsonline24.com/# viagra pills
clomid 50 mg: cheap clomid – buy clomid online no prescription
buy cialis united kingdom erectile dysfunction medications – buy cialis online in canada
buy cialis tadalafil tablets